marketeeronline.co/archives/2911
ในปัจจุบัน ธุรกิจทั่วโลกต่างพยายามปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาภาวะโลกร้อนและการขาดแคลนพลังงานเชื้อเพลิงที่นับวันยิ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาคเศรษฐกิจ แวดวงโลจิสติกส์เองก็เช่นเดียวกัน เพราะทั้งกระบวนการบริหารคลังสินค้าไปจนถึงการขนส่งล้วนใช้พลังงานมหาศาล แล้วผู้ประกอบการจะมีแนวทางอย่างไรเพื่อเปลี่ยนให้ทุกกระบวนการก้าวไปสู่ความ “กรีน” ได้มากที่สุด?
จัดการคลังสินค้าสู่ Green Logistics ด้วย EV Forklift
อย่างที่คุณทราบดีว่ากระบวนการทางโลจิสติกส์นั้นซับซ้อนและประกอบด้วยการทำกิจกรรมหลายอย่าง ลองนับดูว่าตั้งแต่สินค้าออกจากไลน์ผลิตจนกระทั่งถึงมือลูกค้า จะต้องใช้พลังงานและปล่อยมลภาวะไปมากเท่าไหร่ ด้วยปัญหาข้อนี้เอง จึงได้เกิดแนวคิด Green Logistics ขึ้น เพื่อปรับปรุงกระบวนการบริหารคลังสินค้าและขนส่งสินค้าให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่น ๆ ใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น และปล่อยมลภาวะหรือสารปนเปื้อนออกสู่ระบบนิเวศให้น้อยที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องบาลานซ์เรื่องผลประกอบการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ได้
หนึ่งในโซลูชั่นที่ผู้ประกอบการหลายท่านเลือกใช้ควบคู่ไปกับการวางแผนเรื่องเส้นทางขนส่งและการนำระบบออโตเมชันมาใช้ในระบบคลังสินค้าก็คือ รถยกพลังงานไฟฟ้า หรือ EV Forklift เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งหรือการจัดการกับทรัพยากรสินค้าในขั้นตอนไหน ๆ ทั้งระบบจะต้องเป็นสีเขียวอย่างแท้จริง
เปรียบเทียบรถยกแบบเดิมกับ EV Forklift
รถยกภายในคลังสินค้าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้พลังงาน จะไม่ใช้ก็ไม่ได้ เพราะช่วยทุ่นแรงมนุษย์ได้เยอะ แล้วการเปลี่ยนรถยกสินค้าไปเป็นแบบระบบไฟฟ้าจะสามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร SCG Logistics พาจะคุณไปเปรียบเทียบถึงความแตกต่างของรถระบบน้ำมันกับไฟฟ้าให้เห็นกัน
Forklift ระบบดีเซลหรือแก๊ส LPG
รถ Forklift แบบที่ต้องใช้เชื้อเพลิงนั้นรองรับงานหนักได้ดี ใช้ขนลำเลียงสินค้าที่มีน้ำหนักมากได้ และทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงเพราะใช้เวลาเติมเชื้อเพลิงไม่นาน แต่ด้วยความที่ตัวเครื่องมีความร้อนและไอระเหยจากเชื้อเพลิงเวลาขับจึงไม่นิยมใช้กับคลังสินค้าอุปโภคบริโภค อีกทั้งการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงยังปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ หมายความว่าตลอดการลำเลียงสิ่งของในคลัง คุณกำลังปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่นั่นเอง
นอกจากนั้นแล้ว รถยกประเภทนี้ยังต้องใช้คนในการบังคับ จึงมีจุดอ่อนในเรื่องของความผิดพลาดที่อาจเกิดจากความเหนื่อยล้าต่อการทำงาน หรือขีดจำกัดบางอย่างที่มนุษย์ยังไปไม่ถึงได้
EV Forklift
รถ EV Forklift ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานสะอาด แม้ว่าในอดีตจะยังไม่รองรับการลำเลียงของที่หนักเกินไปหรือการเปิดใช้งานได้เป็นเวลานาน เนื่องจากความแรงของเครื่องยนต์ยังไม่เท่ารถที่ใช้เชื้อเพลิง และแบตเตอรี่ยังมีข้อจำกัด ใช้งานได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเสียเวลาชาร์จไฟอีกหลายชั่วโมง แต่ในปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายได้พัฒนาชนิดของแบตเตอรี่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รองรับการยกสินค้าที่มีน้ำหนักมากขึ้น จึงใช้งานกับคลังสินค้าทุกประเภท ทั้งในร่มและภายนอก โดยไม่ทิ้งไอระเหยจากน้ำมันที่เป็นอันตราย และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไปสู่รถยก Forklift แบบไร้คนขับ ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดจาก Human Error ในการบริหารคลังสินค้าได้ดีอีกด้วย อย่างคลังสินค้าต้นแบบของ SCG Logistics เองก็ได้นำรถ EV Forklift มาใช้งานเพื่อเปลี่ยนกระบวนการของเราให้เป็น Green Logistics ทั้งระบบและลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด
4 ข้อดีของ EV Forklift เพื่อคลังสินค้ารักษ์โลก
1. มั่นใจในประสิทธิภาพ
ปัจจุบัน EV Forklift ได้รับการพัฒนาให้รองรับการลำเลียงสินค้าหนักเทียบเท่ากับรถที่ใช้เชื้อเพลิงขับเคลื่อน จึงช่วยบริหารคลังสินค้าให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าเพราะรองรับการจัดเก็บสินค้าบนชั้นที่สูง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหน้าจอที่ใช้งานง่าย ทำงานร่วมกับเซนเซอร์ที่ช่วยรับส่งข้อมูลไปยังระบบคอมพิวเตอร์ จึงสามารถจัดการกับคลังสินค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่า เช่น เมื่อรถยกสินค้าเข้ามา Rack Sensor จะส่งข้อมูลไปบันทึกยังระบบคลังสินค้าโดยอัตโนมัติ ลดปัญหาความผิดพลาดจากการคีย์ข้อมูลโดยมนุษย์ และช่วยลดจำนวนแรงงานภายในคลัง เพื่อให้พนักงานไปทำงานด้านอื่นที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้
2. ปลอดภัยต่อทุกฝ่าย
เพราะ EV Forklift ไม่ใช้เชื้อเพลิงและไม่ปล่อยมลภาวะ จึงปลอดภัยต่อคลังสินค้า ตัวสินค้า และผู้ปฏิบัติงาน มีกระบวนการตรวจสอบแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน อีกทั้งแบตเตอรี่ยังไม่ระเบิดหรือติดไฟ จึงสามารถใช้งานได้ในคลังสินค้าที่มีอุณหภูมิสูง และคลังห้องเย็นหรือคลังสินค้าแช่แข็งที่มีอุณหภูมิเย็นจัดได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเซนเซอร์ที่ช่วยตรวจจับสิ่งของหรือสิ่งกีดขวางให้รถขับเคลื่อนอยู่ในระยะที่เหมาะสม รถจะลดความเร็วลงเมื่อถึงทางเลี้ยว และมีไฟ LED แสดงสัญญาณสำคัญ
3. ประหยัดพลังงานและเวลา
รถ EV Forklift ที่ดีจะต้องใช้แบตเตอรี่ที่ทรงพลังเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานเต็มร้อย อย่าง EV Forklift ของ BYD ใช้แบตเตอรี่ Lithium Iron Phosphate ใช้เวลาในการชาร์จเพียง 1-2 ชั่วโมงซึ่งน้อยกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป และในหนึ่งครั้งที่ชาร์จสามารถทำงานได้ต่อเนื่องยาวนาน แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานมากถึง 22,000 รอบการชาร์จ (Charge Cycles) จึงประหยัดพลังงานและทรัพยากรกว่าแบตเตอรี่รถยกไฟฟ้าทั่วไปที่มีอายุการชาร์จเพียง 5,000 รอบ
4. ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
รถยกไฟฟ้าหรือ EV Forklift สามารถทำงานได้ต่อเนื่องเป็นปกติโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสภาพแบตเตอรี่หรือเติมน้ำกลั่นทุกวัน แบตลูกเดียวสามารถใช้งานได้นานหลายปีกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีห้องชาร์จไฟภายในคลังสินค้า ทั้งยังกินพลังงานน้อยกว่า ลงทุนเพียงครั้งเดียวนอกจากจะตอบโจทย์เรื่องโลจิสติกส์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมแล้วจึงช่วยประหยัดงบประมาณในระยะยาวด้วย
นับว่ารถยกสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ Green Logistics ที่ผู้ประกอบการสามารถทำได้ หรือเลือกเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้ให้บริการด้านการบริหารคลังสินค้าที่มีนโยบายสีเขียวเหมือนกัน ก็ถือว่าได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการใช้ทรัพยากรและหันมาใช้พลังงานสะอาดแล้ว หากท่านใดสนใจทำความรู้จักกับบริการคลังสินค้าของ SCG Logisitcs ให้มากขึ้น ว่าเรามีการนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้อย่างไร
ที่มา : SCG Logistics, SCG International, bydforklift.com, interlakemecalux.com