ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุคปัจจุบันส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเคมี ซึ่ง Marketresearch.com ได้จำแนกเทรนด์สำคัญ 3 ปัจจัยที่จะส่งผลต่ออนาคตและแนวทางการทำธุรกิจของอุตสากรรมเคมีจากนี้และในอนาคต
1. ความยั่งยืนและอุตสาหกรรมหมุนเวียน
วัตถุดิบและพลังงานนั้นมีน้อยลงทุกวัน รวมถึงผลกระทบจากมลพิษต่าง ๆ ไม่ว่าจะการคายก๊าซหรือเศษขยะจากการผลิตทำให้นโยบายและความสำคัญด้านสภาพแวดล้อมกลายเป็นสิ่งจำเป็น อุตสาหกรรมเคมีทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และเศรษฐกิจ (Economy) เพื่อลดพลังงานและการใช้ทรัพยากรลง
ด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดศักยภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล หรือการใช้ทรัพยากรซ้ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของทรัพยากรหมุนเวียนในการทำให้เกิดคุณค่าสูงที่สุดในขณะที่ประหยัดทรัพยากร ตัวอย่างเช่น
- พลาสติกชีวภาพ (Bio-based Plastic) พลาสติกชีวภาพนั้นแตกต่างจาก Biodegradable หรือวัสดุที่ย่อยสลายทางชีวภาพได้เนื่องจากสามารถนำมารีไซเคิลได้อย่างสมบูรณ์หมดจด ทั้งยังได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานระบบรีไซเคิลที่มีอยู่เดิมแล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การรีไซเคิลวัตถุดิบแบตเตอรี่ ตลาดสำหรับรีไซเคิลแบตเตอรี่นั้นกำลังเติบโตสอดรับกับการมาถึงของ EV
- เพิ่มศักยภาพการผลิตพลังงานจากกังหันลม ปัจจุบันยุโรปใช้พลังงานไฟฟ้าจากลมอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นคาดหวังว่าจะทำให้สัดส่วนดังกล่าวขยับขึ้นมาที่ร้อยละ 25 ในปี 2030 ด้วยการใช้ PX35 Carbon Fiber ที่จะเพิ่มระยะใบพัดโดยไม่ต้องเพิ่มน้ำหนัก
2. Digitalization
ต้องยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันเป็นผลจาก Digitalization แทบทั้งสิ้นทุกวงการ แน่นอนว่าสำหรับอุตสาหกรรมเคมีนั้นการใช้ข้อมูลที่สำคัญและการทดสอบต่าง ๆ ผ่านดิจิทัลสามารถสร้างความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่ลดลง วางแผนการซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน ลดเวลา Downtime และเพิ่มความแม่นยำในการบริหารจัดการได้อย่างเฉียบคม
หลายบริษัทในอุตสาหกรรมเคมีได้ใช้จุดเด่นของดิจิทัลในการดำเนินงานกันไปหลากหลายบริษัทแล้วในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น IoT, Machine Learning หรือแม้แต่ Blockchain ซึ่งตัวอย่างเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ได้แก่
- AI การใช้ AI เพื่อขับเคลื่อนศักยภาพนั้นสามารถใช้ได้หลากหลายทาง เช่นการนจับคู่คู่สีที่เหมาะสมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์
- เซนเซอร์และ IoT สำหรับ Logistics บริษัทเคมียักษ์ใหญ่ได้มีการใช้งานเซนเซอร์เพื่อตรวจจับอุณหภูมิ ความชื้น แรงช็อค รวมถึงแสงสว่างในการปฏิบัติงานต่าง ๆ มากกว่า 1,000 กิจกรรมต่อวัน ข้อมูล Real-time ที่เกิดขึ้นทำให้ตอบสนองต่อการทำงานได้อย่างทันท่วงที
- ความร่วมกับระหว่างบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ยกตัวอย่างความร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อพัฒนาโซลูชัน AI เพื่อใช้ Machine Learning ในการตรวจสอบภาพพื้นผิวของการสำรวจก๊าซและน้ำมัน
- เครื่องจักรสมบูรณ์แบบ การใช้ออโตเมชันสามารถนำเปิดทางสู่กระบวนการผลิตระดับพรีเมียมได้ไม่ว่าจะเป็นการผลิตชิ้นส่วนคอมโพสิทที่มีความซับซ้อนสำหรับอากาศยาน ยานยนต์ นาวี หรืออุตสาหกรรมท่อ เป็นต้น
3.นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของ Globalization
ความต้องการในการใช้สารเคมีในโลกนั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นปัจจัยหลักในการผลักดันอุตสาหกรรมเคมี อายุขัยของสินค้าที่ลดลงและการเร่งป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดทำให้ Globalization นั้นเกิดความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ เช่น
- Novel Manufacturing Process ผู้ผลิตคอมโพสิทคาร์บอนไฟเบอร์และ OEM สำหรับยานยนต์มักหาหนทางในการใช้คอมโพสิทในยานยนต์ซึ่งบางบริษัทได้พัฒนาการผลิตแบบ One-shot สำหรับชิ้นส่วนคอมโพสิทที่ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพแต่ยังลดค่าใช้จ่ายและเวลาลงด้วย
- วัสดุคอมโพสิทที่สามารถเข้าถึงได้ การลดต้นทุนสำหรับการใช้งานวัสดุคอมโพสิทในยุคปัจจุบันเป็นการลดต้นทุนในขณะเดียวกันยังเพิ่มคุณสมบัติที่มีศักยภาพในเวลาเดียวกัน
- วัสดุที่มีความก้าวหน้าสำหรับคุณสมบัติการเป็นฉนวนที่ดีขึ้น วัสดุฉนวน เช่น Aerogel และวัสดุ Phase Change Material (PCM) ทำให้ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและมีการจัดการด้านความร้อนที่ดีขึ้นหากเทียบกับวัสดุฉนวนแบบเดิม
ที่มา:
Marketresearch.com