“มัลลิกา” หนุนรัฐบาลสร้าง “ฮับด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของเอเชีย” ชูนโยบาย Soft Power ของ “จุรินทร์” สร้างรายได้เข้าประเทศต่อเนื่อง วอนอย่า buly รัฐบาล ปั่นป่วน ปั้นข้อมูลเท็จ ทำให้เข้าใจผิด ระบุอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยมีมูลค่าสูงมากถึง 2 แสนล้านบาท
ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่ากรณีบทความหนังสือบางฉบับลงเรื่อง Soft Powerโดยขยี้รัฐบาลไทยว่าไม่สนับสนุนเอื้อโอกาสให้เยาวชน-ศิลปินไทยเขาจึงไปหาโอกาสที่อื่นนั้น เรื่องนี้เชื่อว่าคนเขียนน่าจะไม่ได้ติดตามนโยบายรัฐบาลและมีข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วนเมื่อเผยแพร่ออกไปก็เกิดประเด็นกว้างขวางบนโซเชียลมีเดียและทำให้คนเข้าใจผิดได้
ในส่วนนโยบายบุกตลาดโลกโดยล่าสุด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพิ่งจัดงาน MOVE 2022 ดัน Soft Power ไทย เป็นฮับด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของเอเชียสร้างรายได้งานเดียว ตั้งเป้าไว้ที่ 500 ล้านบาท ปรากฏว่าสามารถทำยอดได้ทะลุเป้าได้ถึง 604 ล้านบาท ย้ำว่างานเดียวกว่า 604 ล้าน จัดไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2565 อันนี้ข่าวล่าสุดของรัฐบาลไทย
โดยเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ Multimedia Online Virtual Exhibition 2022 หรือ มูฟ(MOVE) ที่สตูดิโอกันตนาร่วมกับเครือข่ายวงการอุตสาหกรรมนี้ทุกเจนเนอเรชั่นทั้งหมด ขณะนี้เนื้อหาด้าน SoftPower ตื่นตัวกันมาตลอด 3 ปีและงานมูฟ MOVE คือโครงการเจรจาการค้าระหว่างผู้ประกอบธุรกิจดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยกับผู้ประกอบการหรือผู้ซื้อในต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 แล้วนับตั้งแต่ปี 62 ถึงปัจจุบัน
“กระทรวงพาณิชย์สามารถสร้างมูลค่าการค้าในอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ทั้งในและต่างประเทศมูลค่ารวมถึง 11,634 ล้านบาท ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ 7,321 ล้านบาท อนิเมชั่นกับคาแรกเตอร์ 3,517 ล้านบาท เกมส์ 706 ล้านบาทและ e-learning 90 ล้านบาท รวม 11,634 ล้านบาท นี่คือผลงานรัฐบาลด้าน SoftPower” ส.ส.ดร.มัลลิกา กล่าว
พร้อมกันนี้ยังระบุด้วยว่า ประเทศเราเดินหน้าจับมือร่วมกันกับภาคเอกชนจะ”สร้างประเทศไทยให้เป็นฮับของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของเอเชียให้ได้ต่อไปในอนาคต” นี่คือเป้าหมายที่นายจุรินทร์ประกาศไว้ และผลการสำรวจเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมามูลค่าอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยมีมูลค่าสูงมากถึง 200,000 ล้านบาท เป็นมูลค่าที่เกิดจากภาพยนตร์กับโทรทัศน์รวมกัน 153,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจให้ชมภาพยนตร์ผ่านออนไลน์ถึง 36,000 ล้านบาท
“ขอเรียนว่าถ้าเราจะเขียนอะไรสักอย่างนึงเราต้องรู้ลึกรู้จริงในเรื่องนั้นไม่ใช่สักแต่จะ buly รัฐบาลเพื่อความสะใจหรือสาสมจริตตนเท่านั้น ยุคนี้ข้อมูลเท็จมันเยอะแพร่เร็วมากมันจะเกิดความปั่นป่วนเพราะข้อมูลเท็จจำนวนไม่น้อยก็สร้างปัญหาสกัดกั้นโอกาสของผู้คน จึงขอเรียนให้ทราบว่า Soft Power เป็นนโยบายของรัฐบาลไทยที่จะยกประเทศไทยเป็น”ฮับแห่งเอเชีย”ด้านนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่สนับสนุนศิลปินแต่หนุนเป็นอุตสาหกรรมระดับโลกแล้ว”
ดร.มัลลิกา กล่าวอีกว่า ในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมที่เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญอีกตัวหนึ่งคืออุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ที่พวกเรากำลังจับมือเดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศต่อไปและจะไปรวมในตัวเลขการส่งออกของประเทศที่เป็นพระเอกการขับเคลื่อน GDP ของประเทศ และจากนี้ถ้าเราเปิดประเทศได้การท่องเที่ยวเข้ามาอีกก็จะช่วยเติม อย่างน้อยการส่งออกล่าสุดตัวเลขเดือน ม.ค.-ก.ค.2565 ก็ทำเงินเข้าประเทศ 7 เดือนแรกโต 11.5% มูลค่ากว่า 5.77 ล้านล้านบาท เป็นบวก 17 เดือนต่อเนื่องการส่งออกยังเป็นพระเอกและดิจิทัลคอนเทนท์เป็นส่วนหนึ่งของตัวเลขส่งออก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผลักดันอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยนำซอฟพาวเวอร์ มาผสมผสานเพื่อสะท้อนความเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นไทยลงไปในเนื้อหาของดิจิทัลคอนเทนท์ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ซีรีย์ต่างๆ รายการโทรทัศน์ เกมส์หรืออื่นๆรวมทั้งอนิเมชั่นหรือคาแรคเตอร์ศิลปิน นอกจากขายศักยภาพของภาคธุรกิจด้านนี้ของไทยแล้วให้ขายความเป็นไทยเข้าไปด้วยจะได้สองต่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและศิลปะวัฒนธรรมวิถีชีวิตของความเป็นคู่ขนานกันไปพร้อมกัน
ทั้งนี้เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังวิกฤติโควิด-19 ด้วย ตอนนี้กระทรวงพาณิชย์เขาทำกิจกรรม 2 กิจกรรมหลัก 1.กิจกรรมจับคู่ธุรกิจออนไลน์ระหว่างผู้ประกอบการของไทยและต่างประเทศที่เข้ามาซื้อเบื้องต้นที่ประสานต่อเนื่องก็ 40-50 ราย รวมทั้ง Netflix และกิจกรรมที่2 พิชชิ่ง(Pitching )ให้ 5 บริษัทของไทยนำเสนอผลงานให้บริษัทต่างประเทศเพื่อซื้อขายหรือเจรจา
ดร.มัลลิกา กล่าวว่า รัฐบาลมี 3 ส่วนในการสนับสนุนด้านนี้ คือ 1.ในส่วนกองทุนอยู่ที่กระทรวงวัฒนธรรมเรียกว่ากองทุนสื่อสร้างสรรค์เป็นผู้พิจารณางบประมาณสนับสนุนการผลิตสามารถไปยื่นเรื่องได้ 2.กระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่สนับสนุนในระดับนโยบายและอุตสาหกรรม 3.กระทรวงพาณิชย์ส่งเสริมการค้าและการเจรจาการพบปะแลกเปลี่ยนซื้อขายดังนั้นถ้าเกิดจะประสานงานด้านใดต่างก็มีช่องทางในการติดต่อ